Translate

วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แป้งที่ใช้ทำขนมไทย

        แป้งข้าวเจ้า (Riceflour) มีลักษณะเป็นผงมีสีขาวจับแล้วสากมือเล็กน้อย 
     แป้งข้าวเหนียว (Glutinous Riceflour) เป็นแป้งที่ทำมาจากเมล็ดข้าวเหนียว ที่มีลักษณะเป็นผงสีขาว จับแล้วสากมือเล็กน้อย 
      แป้งมันสำปะหลัง (Cassave Starch) ทำมาจากหัวมันสำปะหลัง มีลักษณะเป็นผงสีขาว จับผิวสัมผัสของแป้งจะเนียน ลื่นมือ 
     แป้งข้าวโพด (Corn Starch) เป็นแป้งที่สกัดมาจากเมล็ดข้าวโพด มีลักษณะเป็นผงสีขาวเหลืองนวลจับแล้วผิวสัมผัสของแป้งเนียนลื่นมือ 
       แป้งถั่วเขียว (Mung bean Starch) เป็นแป้งที่สกัดมาจากถั่วเขียว เมล็ดแห้งมีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆจับผิวสัมผัสแล้วจะสากมือ 
      แป้งท้าวยายม่อม (Arrowroot Starca) สกัดมาจากหัวมันท้าวยายม่อม มีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ สีขาวเป็นเงา 
     แป้งสาลี (Wheat Flour) ทำจากเมล็ดข้าวสาลี ลักษณะเป็นผงมีสีขาวเมื่อทำให้สุกจะมีลักษณะร่วนเหลว
        แป้งสาลีสำหรับทำขนมปัง (Bread Flour) ทำจากข้าวสาลีชนิดหนัก มีปริมาณโปรตีน 12-13 เปอร์เซนต์ แป้งมีสีขาวนวล เมื่อสัมผัสผิวแป้งจะหยาบกว่าแป้งสาลีชนิดอื่น 
        แป้งสาลีอเนกประสงค์ (All purpose Flour) ทำจากข้าวสาลีชนิดหมักและชนิดเบาผสมรวมกัน มีโปรตีน 9-10 เปอร์เซนต์แป้งมีสีขาวนวลลักษณะหยาบแต่น้อยกว่าแป้งขนมปัง แป้งสาลีสำหรับทำเค้ก (Care Flour) ทำจากข้าวสาลีชนิดเบา มีปริมาณโปรตีน 6-9 เปอร์เซนต์ สีขาวเนื้อแป้งละเอียด

แหล่งที่มา : www.horapa.com

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ข้อควรปฏิบัติ 10 ประการ ในวันตรุษจีน

สวัสดีในยามเย็นน้ะค้ะ..พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันตรุษจีนแล้วก็ได้นำข้อควรปฏิบัติในวันตรุษจีนมาฝากกันค้ะ



1. ไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ และไหว้ผีไม่มีญาติ
          วันที่ชาวจีนต้องไว้เจ้านี้ เราเรียกว่า "วันซาจั๊บ" ช่วงเช้าหลังจากที่ไหว้เจ้าในบ้าน คือ ตีจูเอี๊ยะ และไหว้บรรพบุรุษแล้ว ในตอนเที่ยงก็จะต้องไหว้ผีไม่มีญาติ โดยของไหว้ก็จะมีทั้งอาหารคาว เช่น เป็ด-ไก่ รวมถึงอาหารหวานด้วย จะมากหรือจะน้อย ก็ขึ้นอยู่กับฐานะของผู้ไหว้ นอกจากนี้ก็ยังต้องมีเครื่องกระป๋อง ข้าวสาร และเกลือ เพื่อให้ผีไม่มีญาติได้นำออกไป อีกทั้งยังต้องจุดขี้ไต้ 2 ชิ้นไว้ด้วย และเมื่อไหว้เสร็จก็ต้องจุดประทัด จากนั้นจึงเอาข้าวสารมาผสมกับเกลือแล้วนำมาโปรยเพื่อขับไล่สิ่งที่ไม่ดีให้หมดไป

2. รวมญาติกินเกี๊ยว
          สิ่งที่สำคัญมากอีกหนึ่งประการของวันตรุษจีน คือ เป็นวันนัดรวมญาติ เพราะถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทุกคนในครอบครัวจะต้องเดินทางมาร่วมโต๊ะกินเกี๊ยวด้วยกันในวันซาจั๊บ ซึ่งถือเป็นมื้อสุดท้ายก่อนขึ้นปีใหม่ (วันแรกของปีใหม่ของชาวจีน คือ วันชิวอิก) และเหตุที่ต้องเป็น "เกี๊ยว" ก็เพราะรูปร่างของเกี๊ยวมีลักษณะเหมือนกับ "เงิน" ของจีน จึงแฝงความหมายเป็นนัยว่า ให้มั่งมีเงินทองนั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เคล็ดไม่ลับ ดับสารพัดกลิ่น


ขนมไทยภาคเหนือ

            ส่วนใหญ่จะทำจากข้าวเหนียว และส่วนใหญ่จะใช้วิธีการต้ม เช่น ขนมเทียน ขนมวง ข้าวต้มหัวหงอก มักทำกันในเทศกาลสำคัญ เช่นเข้าพรรษา สงกรานต์ ขนมที่นิยมทำในงานบุญเกือบทุกเทศกาลคือขนมใส่ไส้หรือขนมจ๊อก ขนมที่หาซื้อได้ทั่วไปคือ ขนมปาดซึ่งคล้ายขนมศิลาอ่อน ข้าวอีตูหรือข้าวเหนียวแดง ข้าวแตนหรือข้าวแต๋น ขนมเกลือ ขนมที่มีรับประทานเฉพาะฤดูหนาว ได้แก่ ข้าวหนุกงา ซึ่งเป็นงาคั่วตำกับข้าวเหนียว ถ้าใส่น้ำอ้อยด้วยเรียกงาตำอ้อย ข้าวแคบหรือข้าวเกรียบว่าว ลูกก่อ ถั่วแปะยี ถั่วแระ ลูกลานต้ม ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ขนมพื้นบ้านได้แก่ ขนมอาละหว่า ซึ่งคล้ายขนมหม้อแกง ขนมเปงม้ง ซึ่งคล้ายขนมอาละหว่าแต่มีการหมักแป้งให้ฟูก่อน ขนมส่วยทะมินทำจากข้าวเหนียวนึ่ง น้ำตาลอ้อยและกะทิ ในช่วงที่มีน้ำตาลอ้อยมากจะนิยมทำขนมอีก 2 ชนิดคือ งาโบ๋ ทำจากน้ำตาลอ้อยเคี่ยวให้เหนียวคล้ายตังเมแล้วคลุกงา กับ แปโหย่ ทำจากน้ำตาลอ้อยและถั่วแปยี มีลักษณะคล้ายถั่วตัด

ขนมในวิถีไทย

      ขนมไทยหัตถกรรมความอร่อยที่แสดงออกถึงความอ่อนช้อยของความเป็นไทย ตั้งแต่ครั้งอดีตกาลที่ก่อกำเนิดภูมิปัญญาไทยหลากหลายอย่างให้สืบสานต่อทั้งวิถีชีวิตประเพณี วัฒนธรรม ที่สามารถนำวัสดุมีอยู่ในท้องถิ่นมาปรุงแต่งเป็นของหวานได้มากหลายรูปแบบ จัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าคนไทยมีลักษณะนิสัยอย่างไร เพราะขนมแต่ละชนิดล้วน มีเสน่ห์ แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อน ประณีต วิจิตรบรรจงในรูปลักษณ์ ตั้งแต่วัตถุดิบที่ใช้ วิธีการทำที่กลมกลืน ความพิถีพิถัน สีที่ให้ความสวยงาม มีกลิ่นหอม รสชาติของขนมที่ละเมียดละไมชวนให้รับประทาน แสดงให้เห็นว่าคนไทยเป็นคนใจเย็น รักสงบ มีฝีมือเชิงศิลปะ
วิถีชีวิตของคนไทยนั้นเป็นสังคมเกษตรที่มีผลิตผลทางธรรมชาติอยู่มากมาย เช่น กล้วย อ้อย มะม่วง รวมไปถึงข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ฯลฯ ที่สามารถปรุงเป็น ขนม ได้มากมายหลายชนิด เช่น อยากได้ กะทิ ก็เก็บมะพร้าวมาขูดคั้นน้ำกะทิ อยากได้ แป้งก็นำข้าวมาโม่เป็นแป้งทำขนมอร่อยๆ เช่น บัวลอย กินกันเองในครอบครัว
ขนมไทยถูกนำไปใช้ในงานบุญตามประเพณีและงานพิธีกรรม ที่เกี่ยวข้องในวิถีชีวิตชาวไทย โดยนิยมทำขนมชื่อมีมงคล ได้แก่ ขนมตระกูลทองทั้งหลาย เพราะคนไทยถือว่า “ทอง” เป็น ของดีมีมงคลทำแล้วได้มีบุญกุศล มีเงินมีทอง มีลาภยศ สรรเสริญ สมชื่อขนมนั่นเอง สามารถแบ่งประเภทขนมได้ดังนี้
แบ่งตามวิธีการทำให้สุกได้ดังนี้

เคล็ดไม่ลับเรื่องของไข่



วันนี้นิมีเคล็ดไม่ลับเรื่องของไข่ในการทำอาหาร..มาบอกกันจ้า !! 




วิธีดูว่าไข่เน่าหรือไม่
     เก็บไข่สดไว้นานเกินไป แถมยังเผลอเอาไปวางปนกับไข่ ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ งานเข้าล่ะค่ะ พี่น้อง...จะตอกออกมาดู ก็แหม !!! กลิ่นคงบรรยายไม่ถูก ไม่ต้องตกใจไป แม่เขียวหวานมีวิธีดีๆ มาแนะนำ วิธีดูว่าไข่สดเน่ารึยัง ให้เอาไข่ไปลอยน้ำค่ะ ไข่เสียหรือไข่เน่าจะลอยน้ำเสมอ ส่วนไข่ที่ยังดีอยู่จะจมน้ำค่ะ

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เคล็ดลับคู่ครัว





ต้มยำปลาอย่างไรไม่ให้เหม็นคาว
หลายๆ ท่าน คงประสบกับปัญหาเมื่อทำต้มยำปลาแล้วมีกลิ่นคาว ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากโดยธรรมชาติในปลาจะมีโปรตีนและไขมันอยู่ ปลาที่มีไขมันมากก็จะยิ่งมีกลิ่นคาวมาก โปรตีนในปลาจะละลายออกมาเมื่อถูกน้ำอุ่นและทำให้เกิดกลิ่นคาว การป้องกันกลิ่นคาวของปลาให้หมดไป ทำได้โดย ต้องต้มน้ำซุปให้เดือดพล่านก่อนใส่ปลาลงไป รวมทั้งเมื่อใส่เนื้อปลาลงไปแล้ว ไม่ควรเขี่ยหรือคนเนื้อปลา จนกว่าเนื้อปลาจะสุกเสียก่อน เพียงเท่านี้กลิ่นคาวก็จะไม่หลงเหลืออีกต่อไป

วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อาหารสมองช่วยเพิ่มสมาธิ


          • อาหารและเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชาดำ ชาเขียว โกโก้ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต  ซึ่งจะมีสารกาเฟอีนประกอบอยู่มากบ้างน้อยบ้าง เช่น กาแฟจะมีสารกาเฟอีนสูงกว่าชาเขียว สารกาเฟอีนหากได้พอเหมาะจะช่วยให้เกิดการตื่นตัวและสดชื่น หากได้มากเกินไปอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ โดยเฉพาะผู้ที่แพ้กาเฟอีน เด็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ควรระมัดระวังการกินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อาจทำให้หัวใจเต้นเร็วและปวดหัวได้• น้ำตาลกลูโคสซึ่งไม่ใช่น้ำตาลทราย แต่ เป็นน้ำตาลที่มาจากการย่อยอาหารพวกข้าว แป้ง นม ผลไม้ เนื่องสมองของคนเรานั้นต้องการน้ำตาลในการทำงาน ผู้ที่ทำงานหนักโดยขาดน้ำตาล เช่น ไม่กินข้าว ไม่กินแป้ง ไม่กินผลไม้ มักจะมีอาการเหนื่อยง่าย มักจะเกิดความมึนงงได้ง่าย และหากได้ผลไม้หรือน้ำผลไม้ก็จะทำให้สดชื่นขึ้น จากการศึกษาพบว่าเด็กๆ ที่ไม่รับประทานอาหารเช้าจะมีสมาธิในการเรียนที่สั้นกว่า และผลการเรียนที่น้อยกว่าเด็กที่รับประทานอาหารเช้า เนื่องจากข้าว แป้งที่รับประทานเข้าไปจะเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลกลูโคส ข้อที่ต้องระวัง คือ การกินอาหารประเภทข้าว แป้ง และน้ำตาลที่มากเกินไปก็จะไม่ดีเช่นกันเพราะน้ำตาลที่เกินกว่าความต้องการ ของร่างกายก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันแทนที่• ปลาทะเล เช่น ปลาทู ปลาทูน่า ปลากะพง ปลาแซลมอน จะมีสารโอเมก้า-3 สูงที่ช่วยเพิ่มความจำ และในเด็กเล็ก 0-5 ปี สารโอเมก้า-3 นี้ จะเป็นตัวที่เพิ่มการพัฒนาการของสมองที่ช่วยในด้านความจำและการเรียนรู้ สำหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุสารโอเมก้า-3 จะช่วยลดการเกิดโรคสมองเสื่อมและเส้นเลือดสมองตีบ คนในประเทศญี่ปุ่นที่มีการกินปลาที่มีสารโอเมก้า-3 สูง พบว่า การทำงานของสมอง และความจำ รวมถึงการมีสมาธิในการทำงานจะดีกว่าคนที่ไม่ได้รับสารโอเมก้า-3 ตามข้อแนะนำของสมาพันธ์โรคหัวใจและหลอดเลือดสมองแนะนำให้กินปลาที่มีสารโอเม ก้า-3 อาทิตย์ละ 2 ครั้ง• กินอาหารที่มีไขมันและน้ำมันที่ดี เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดเฟล็ก ไขมันจากถั่วเปลือกแข็ง ไขมันจากผลอะโวคาโด ไขมันและน้ำมันเหล่านี้จะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดที่มีส่วนช่วยในการลด ระดับคอเลสเตอรอล และลดไขมันในเส้นเลือด ทำให้เลือดหมุนเวียนภายในร่างกายได้ดีและเมื่อเลือดหมุนเวียนได้ดีสมองก็จะ ได้รับเลือดและออกซิเจนที่เพียงพอ ทำให้การทำงานได้ดี และอาหารกลุ่มนี้จะมีวิตามินอีที่เป็นตัวช่วยในการบำรุงสมอง ส่วนไขมันบางประเภทเช่นไขมันที่มาจากสัตว์ เช่น ไขมันหมู ไขมันไก่ ไขมันวัว และไขมันจากน้ำมันทอด จะเป็นอีกกลุ่มไขมันที่ไม่ดีและไม่ควรที่จะกินบ่อยเนื่องมาจากไขมันกลุ่มนี้ จะเป็นกลุ่มไขมันอิ่มตัวและมีคอเลสเตอรอลสูง ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวได้ง่ายและก่อให้เกิดโรคของหลอดเลือดสมอง
            • ผัก ผลไม้ที่มีสีม่วงเข้ม เช่น องุ่น บลูเบอร์รี ลูกพรุน ลูกหม่อน ลูกหว้า มะเขือม่วง ข้าวโพดม่วง ดอกอัญชัน จากการศึกษา พบว่า สารที่ม่วงที่มีอยู่ในผักและผลไม้ จะช่วยปกป้องเซลล์สมองจากการถูกทำลายของสารอนุมูลอิสระซึ่งได้แก่ ควันเสีย ความร้อน ความเครียด ซึ่งอนุมูลอิสระจะเป็นตัวทำลายสมองและลดความสามารถของสมองและสมาธิลง จากการศึกษายังพบด้วยว่าสารสีม่วงนี้จะช่วยเพิ่มระบบการเรียนรู้ของสมอง และทำให้ความคิดเฉียบแหลม
       • น้ำเปล่า เนื่อง จากสมองต้องการน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงและทำงานอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราขาดน้ำจึงมักจะมีอาการปวดหัว เป็นไข้ มึนงง คิดอะไรไม่ออก ดังนั้น ผู้ที่ต้องนั่งทำงานที่ต้องใช้สมาธิควรจะมีน้ำหรือเครื่องดื่มวางไว้ใกล้ๆ เพื่อที่จะได้จิบเมื่อเวลาที่สมองต้องการ และพยายามอย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ
จะเห็นได้ว่าอาหารมีส่วนช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นและมี สมาธิในการทำงานเพิ่มขึ้น หากแต่ว่าอาหารที่ดีทั้งหลากหากได้มากเกินไป ก็อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายได้ ดังนั้น จึงควรเรียนรู้คำว่าพอดีสำหรับอาหารแต่ละประเภทก็จะทำให้สุขภาพร่างกายและ สมองดี

7 เคล็ดลับ กินอย่างไรไม่ให้อ้วน


ในยุคที่กระแสคนรักสุขภาพกำลังได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก รวมทั้งคนไทย การกินเพื่อสุขภาพคือสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องให้ความใส่ใจเพราะการกินไม่ใช่แค่การสนองความต้องการหรือให้อิ่มท้องเท่านั้น หากแต่ยังต้องคำนึงถึงผลที่มีต่อสุขภาพด้วย
1.ทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดและควรเป็นมื้อที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกายและสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น
2.เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์(มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากคอเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหารและปัจจัยอื่นช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตได้ หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น

วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประโยชน์ของขนมไทย

      

                    ประโยชน์ของขนมไทย



          ใยอาหาร" หรือ "Fiber" เป็นอาหารอีกหมู่หนึ่งที่ร่างกายมีความต้องการไม่น้อยไป กว่าอาหารหลักหมู่อื่น ใยอาหารนี้แท้ที่จริงแล้วคือ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ไม่ใช่แป้ง ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ พืช ผัก และผลไม้ที่รับประทานได้ แต่ไม่ถูกย่อยโดยน้ำย่อยในระบบย่อยอาหาร เมื่อผ่านลำไส้ใหญ่บางส่วนจะถูกย่อยโดยจุลินทรีย์ ทำให้กลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไฮโดรเจน น้ำ และกรดไขมันสายสั้นๆ ซึ่งจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ด้วยเหตุนี้ ใยอาหารจึงมีผลช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติช่วยดูดซับสารก่อมะเร็งที่อาจปะปนมากับอาหาร ซึ่งร่างกายสามารถขับถ่ายมาพร้อมกับอุจจาระ ช่วยลดการดูดซึมไขมันและคอเรสเตอรอลในเส้นเลือดได้และเพื่อสุขภาพที่ดีเราควรบริโภคอาหารที่มีเส้นใยอาหารในปริมาณ 25-30 กรัมต่อวัน ซึ่งในขนมไทยต่างมีใยอาหารประกอบอยู่ด้วยทั้งสิ้น
    กากใยอาหารในผักและผลไม้ที่นำมาใช้ทำขนม อย่างเช่น กล้วยบวดชี บวดเผือก บวดฟักทอง ยังคงสภาพอยู่กากใยเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อการขับถ่ายของร่างกายทีเดียว ในขณะที่ ขนมพันธุ์ใหม่ที่ในยุคนี้จะเป็นขนมที่ต้องผ่านกระบวนการย่อยสลายหลายขั้นตอนมาก แป้งที่ใช้ทำขนมก็จะถูกฟอกขาว มีสารเคมีสังเคราะห์มากมายเข้าไปเป็นส่วนผสมทั้งในแป้งและน้ำตาล ซึ่งจะย่อยสลายทันทีในปาก เกิดกรดทำให้ฟันผุได้ทันที และความที่อาหารมีกากใยน้อยลง โรคที่ตามมาอีก คือ อาการท้องผูก ปัจจุบันกลายเป็นปัญหาของเด็กอย่างยิ่ง บางบ้านถึงกับทะเลาะกันระหว่างแม่กับพ่อเรื่องการถ่ายของลูก
เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ
- เบต้าแคโรทีน (beta-Carotene) เป็นองค์ประกอบของสารสีส้มแดง สีเหลืองในพืช ผัก ผลไม้ เป็นแหล่งของวิตามินเอ เพราะร่างกายสามารถเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนไปเป็นวิตามินเอได้ ซึ่งวิตามินเอนี้เป็นวิตามินชนิดไม่ละลายน้ำ มีหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็น การเจริญเติบโต เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของไขมันบนผนังเซลล์ ทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดี
- แคลเซียม เป็นธาตุอาหารที่เป็นโครงสร้างของกระดูกและฟัน ช่วยการหดตัวของกล้ามเนื้อและการเต้นของหัวใจ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์


 ขนมไทย มีรากเหง้ามาจากสังคมเกษตรผูกพันกับธรรมชาติ วัตถุดิบที่นำมาทำเป็นขนมก็ล้วนมาจากธรรมชาติ ดังนั้นคุณสมบัติหลายประการของผลผลิตตามธรรมชาติก็จะยังคงมีอยู่มาก จากการสำรวจคุณค่าทางโภชนาการขนมไทย ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขพบว่าขนมไทยส่วนใหญ่ นอกจากจะมีคุณค่าในสารอาหารหลักๆ อย่างคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันแล้วยังมีแร่ธาตุและวิตามินที่สำคัญต่อร่างกายรวมอีกด้วย อาทิเช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ เรตินอล แคโรทีน เป็นต้น ซึ่งคุณค่าอาหารรวมหมู่แบบนี้จะหาไม่ได้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะเป็นการสกัดสารอย่างใดอย่างหนึ่งมาบรรจุในแคปซูลเพื่อขายในราคาแพงๆ เท่านั้น และในขนมถุงสารอาหารที่มี   ประโยชน์เหล่านี้ก็ยังหาทำยาได้อยากเช่นกัน
    นอกจากนี้ ด้วยความที่ขนมไทยยังไม่ได้ถูกครอบงำจากระบบอุตสาหกรรมข้ามชาติ ทำให้ขนมไทยมีความปลอดภัย ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ความปลอดภัยจากการใช้วัตถุดิบทางการเกษตรที่ผ่านการดัดแปรพันธุกรรม หน้าแรก ขนมไทยเป็นมิตรต่อสุขภาพ ประโยชน์จากขนมไทยการเลือกรับประทานขนมไทย การกินแบบไทยๆ ขนมไทยในเทศกาลงานบุญ ขนมไทยในงานมงคล ขนมไทยแด่ผู้ยากไร้ ขนมไทยที่ใช้เป็นของขวัญ หรือ จีเอ็มโอ เพราะจากการตรวจสอบของกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกรีนพีช พบว่า มีขนมกรุบกรอบหรือขนมถุงที่จำหน่ายในท้องตลาดบางยี่ห้อมีการใช้วัตถุดิบที่ปนเปื้อนจีเอ็มโอ แม้จะยังเป็นข้อถกเถียงที่ยังไม่มีบทสรุปมาจนถึงทุกวันนี้ว่า คนที่กินอาหารจีเอ็มโอหรือมีส่วนผสมของอาหารจีเอ็มโอเข้าไปจะมีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายหรือไม่อย่างไร แต่เพื่อความปลอดภัยผู้บริโภคก็ไม่ควรที่จะเสี่ยง

วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ขนมไทย เสริม "ราศี"



ขนมไทยเสริมราศี

 นับว่าขนม 12 ราศีนี้เป็นทางเลือกให้แก่ผู้ที่เชื่อเรื่องดวงเรื่องราศีอีกทางหนึ่ง
 เพราะนอกจากจะได้ความอร่อยจากรสชาติของขนมแล้ว ยังได้ความสบายใจกลับไปเต็มอิ่มกันอีกด้วย

ราศีมังกร เกิดระหว่าง 15 ม.ค.-14 ก.พ. 
ขนมสวยหลากสีสร้างสรรค์ให้ชีวิตแปลกใหม่ เป็นคนธาตุดินต้องเสริมความตื่นเต้นแปลกใหม่กับชีวิต
ด้วยขนมชั้นสีสวยๆ เยลลี่ลายหวานๆ หรือลูกชุปช่วยเสริมสง่าราศีให้โดนเด่นดีที่สุด
 เครื่องดื่มที่เหมาะคือ น้ำหวานสีต่างๆ

ราศีกุมภ์ เกิดระหว่าง 15 ก.พ.-14 มี.ค.
โดดเด่นเป็นที่สนใจด้วยขนมหายาก เป็นคนธาตุลม ชอบขนมเบเกอรี่ ขนมเค้ก แต่มีขนมไทยหลายประเภทที่ช่วยเสริมดวงชะตา อาทิ สัมปันนี ฝอยทอง เครื่องดื่มที่เหมาะคือ น้ำส้ม น้ำเสาวรส น้ำแอปเปิ้ล
                                           


ราศีมีน เกิดระหว่าง 15 มี.ค.-14 เม.ย. 
โชคดีทุกการเดินทางด้วยขนมพื้นบ้านหลากแบบ เป็นคนธาตุไฟที่ไม่ค่อยใจร้อนเท่าไหร่ ขนมพื้นบ้านจะช่วยเสริมให้เจ้าตัวโชคดีเรื่องการเดินทาง อาทิ ข้าวเม่า ข้าวตอก ข้าวตัง เล็บมือนาง เครื่องดื่มที่เหมาะเป็นประเภทน้ำผักผลไม้
ราศีเมษ เกิดระหว่าง 15 เม.ย.-14 พ.ค. 
ลดอารมณ์ร้อนๆ ด้วยขนมเย็น เป็นคนธาตุไฟ มีนิสัยใจร้อนหงุดหงิดง่าย ควรแก้เคล็ดด้วยขนมประเภทเย็นๆ อาทิ ขนมลอดช่อง กระท้อนลอยแก้ว จะช่วยให้อารมณ์เย็นมีชีวิตชีวา สิ่งที่ติดขัดหรือมีปัญหาจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เครื่องดื่มที่เหมาะเป็นน้ำผลไม้ปั่น อาทิ น้ำสับปะรด น้ำกระเจี้ยบ


ราศีพฤษภ เกิดระหว่าง 15 พ.ค.-14 มิ.ย. 
เสริมความก้าวหน้าด้วยขนมเนื้อแน่น เป็นคนธาตุดิน หนักแน่น มั่นคงมีความรักชอบในศิลปะแบบโบราณ ขนมที่ช่วยเสริมราศี อาทิ ตะโก้ ขนมชั้น ขนมเปียกปูน ขนมหม้อแกง ขนมถ้วย เครื่องดื่มที่เหมาะควรเป็นน้ำมะตูม น้ำตะไคร้ เก็กฮวย
ราศีเมถุน เกิดระหว่าง 15 มิ.ย.-14 ก.ค.
ขนมหายากสร้างเสน่ห์ให้เป็นที่รัก เป็นคนธาตุลม จิตใจแปรปรวน ขนมที่เสริมดวงชะตาให้เป็นที่รักของผู้อื่นอาทิ ขนมหน้านวล เครื่องดื่มเป็นน้ำผลไม้เช่นไวน์ พันซ์
ราศีกรกฎ เกิดระหว่าง 15 ก.ค.-14 ส.ค. 
ชีวิตมีสีสันด้วยขนมรสชาติหวานมัน เป็นคนธาตุน้ำ ใจเย็นเพราะใจดีมีความนุ่มนวล ขนมที่เสริมดวงชะตาสง่าราศี อาทิ ข้าวเหนียวสังขยา สังขยาฟักทอง ขนมประเภทแกงบวช เครื่องดื่มที่เหมาะคือประเภทน้ำหวาน ชา หรือกาแฟทั้งร้อนและเย็น
ราศีสิงห์ เกิดระหว่าง 15 ส.ค.-14 ก.ย. 
เสริมความหรูหราด้วยขนมชื่อสิริมงคล เป็นคนธาตุไฟที่ค่อนข้างเอาแต่ใจ ขนมที่มีสีแดง ส้ม ทอง อาทิ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง จ่ามงกุฏ ข้าวเหนียวแดงจะช่วยเสริม ความสง่างามและเสน่ห์ให้ตนเอง เครื่องดื่มที่เหมาะเป็นน้ำสมุนไพร พวกน้ำจับเลี้ยง ชา ดอกคำฝอย
ราศีกันย์ เกิดระหว่าง 15 ก.ย.-14 ต.ค. 
คนรอบข้างรักใคร่เมตตาด้วยขนมสีขาว เป็นคนธาตุดินที่ค่อนข้างใจเย็น ขนมที่คู่บารมีกับชาวกันย์ ต้องมีสีขาวหรือสีนวลเมตตา ขนมผิง ขนมหน้านวล หรือวุ้นกระทิ จะช่วยให้คนรอบข้างรักใคร่ เครื่องดื่มที่เหมาะเป็นพวกน้ำสมุนไพร รังนก หรือโสม
ราศีตุลย์ เกิดระหว่าง 15 ต.ค.-14 พ.ย. 
ขนมหลากสีสัน ผลักดันให้งานก้าวหน้า เป็นคนธาตุลม ที่ไม่ค่อยยินดียินร้ายกับอะไรทั้งสิ้น ขนมที่เสริมบารมีกับหน้าที่การงานต้องมีสีสันสดใส เช่น ขนมสัมปันนี ช่อม่วง วุ้นกรอบ ข้าวเม่า เครื่องดื่มที่เหมาะควรเป็นน้ำผลไม้และนม
ราศีพิจิก เกิดระหว่าง 15 พ.ย.-14 ธ.ค. 
ขนมผสมกระทิเนรมิตความร่ำรวย เป็นคนธาตุน้ำ มีความเป็นตัวของตัวเองสู้งานหนักสุขุม เหมาะกับขนมหวานประเภทแกงบวช ครองแครง ปลากริมไข่เต่า บัวลอย จะช่วยเสริมความร่ำรวย เครื่องดื่มที่เหมาะต้องมีรสเปรี้ยว เช่น น้ำมะนาว
ราศีธนู เกิดระหว่าง 15 ธ.ค.-14 ม.ค. 
ขนมมงคลพิธี ช่วยให้มีแต่คนเมตตา เป็นคนธาตุไฟ เหมาะที่สุดกับขนมที่มีชื่อเป็นมงคลจะเสริมให้เจริญก้าวหน้า เป็นที่รักใคร่ของคนรอบข้างเช่นขนมทองเอก โพรงแสม รังนก เครื่องดื่มที่เหมาะเป็นน้ำมะพร้าว น้ำตาลสด ชา กาแฟ
 แหล่งที่มา    https://sites.google.com/site/kanomthaipfm/lucky

วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

ขนมไทยในแต่ละภาค


ขนมไทยภาคเหนือ

            ส่วนใหญ่จะทำจากข้าวเหนียว และส่วนใหญ่จะใช้วิธีการต้ม เช่น ขนมเทียน ขนมวง ข้าวต้มหัวหงอก มักทำกันในเทศกาลสำคัญ เช่นเข้าพรรษา สงกรานต์ ขนมที่นิยมทำในงานบุญเกือบทุกเทศกาลคือขนมใส่ไส้หรือขนมจ๊อก ขนมที่หาซื้อได้ทั่วไปคือ ขนมปาดซึ่งคล้ายขนมศิลาอ่อน ข้าวอีตูหรือข้าวเหนียวแดง ข้าวแตนหรือข้าวแต๋น ขนมเกลือ ขนมที่มีรับประทานเฉพาะฤดูหนาว ได้แก่ ข้าวหนุกงา ซึ่งเป็นงาคั่วตำกับข้าวเหนียว ถ้าใส่น้ำอ้อยด้วยเรียกงาตำอ้อย ข้าวแคบหรือข้าวเกรียบว่าว ลูกก่อ ถั่วแปะยี ถั่วแระ ลูกลานต้ม ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ขนมพื้นบ้านได้แก่ ขนมอาละหว่า ซึ่งคล้ายขนมหม้อแกง ขนมเปงม้ง ซึ่งคล้ายขนมอาละหว่าแต่มีการหมักแป้งให้ฟูก่อน ขนมส่วยทะมินทำจากข้าวเหนียวนึ่ง น้ำตาลอ้อยและกะทิ ในช่วงที่มีน้ำตาลอ้อยมากจะนิยมทำขนมอีก 2 ชนิดคือ งาโบ๋ ทำจากน้ำตาลอ้อยเคี่ยวให้เหนียวคล้ายตังเมแล้วคลุกงา กับ แปโหย่ ทำจากน้ำตาลอ้อยและถั่วแปยี มีลักษณะคล้ายถั่วตัด

อาหารพื้นเมือง จ.สตูล


อาหารพื้นเมือง จ.สตูล


สตูล มาจากภาษามลายูว่า “สโตย” แปลว่า ต้นกระท้อน เพราะบริเวณนี้มีกระท้อนขึ้นอยู่มาก
          จ.สตูล ตั้งอยู่ตอนใต้สุดด้านตะวันตกของประเทศไทย ฝั่งทะเลอันดามันทางทิศใต้ติดต่อกับรัฐเคดะห์ ประเทศมาเลเซีย ทำให้มีวัฒนธรรมที่ผสมผสานจากตอนใต้ของดินแดนไทย มุสลิม และชาวจีน ที่เดินทางไปมาอยู่ในบริเวณนี้ตั้งแต่อดีต
          รวมถึงวัฒนธรรมอาหารที่ได้อิทธิพลจีนและมุสลิมมาเลเซียปะปนจนเป็นอาหารแบบสตูล เช่น
          ชาชัก ของขึ้นชื่อของสตูล และเป็นจุดเริ่มต้นของชาชักแห่งแรกในไทย
 โดยคุณวรรณา ​แช่ตัน ​เจ้าของร้าน “ขอบคุณสตูล” คิดหา​เครื่องดื่มที่​เหมาะทานคู่กับ​โรตี        ฝึกชงชาชักที่ได้ดูและชิมในมาเลเซีย มาพัฒนาสูตรใน​แบบของตน​เอง
 ชาชักสตูลนิยมทานคู่กับโรตีแกงแพะ แกงไก่ หรือแกงเนื้อ เพิ่มรสชาติในการดื่มชาชักให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น

การอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย

การอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย

1. การค้นคว้าวิจัย ควรศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาของไทยในด้านต่างๆ ของท้องถิ่น จังหวัด ภูมิภาค และประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งภูมิปัญญาที่เป็นภูมิปัญญาของท้องถิ่น มุ่งศึกษาให้รู้ความเป็นมาในอดีต และสภาพการณ์ในปัจจุบัน
2. การอนุรักษ์ โดยการปลุกจิตสำนึกให้คนในท้องถิ่นตระหนักถึงคุณค่าแก่นสาระและความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น ส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมตามประเพณีและวัฒนธรรมต่างๆ สร้างจิตสำนึกของความเป็นคนท้องถิ่นนั้นๆ ที่จะต้องร่วมกันอนุรักษ์ภูมิปัญญาที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น รวมทั้งสนับสนุนให้มีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นหรือพิพิธภัณฑ์ชุมชนขึ้น เพื่อแสดงสภาพชีวิตและความเป็นมาของชุมชน อันจะสร้างความรู้และความภูมิใจในชุมชนท้องถิ่นด้วย
3. การฟื้นฟู โดยการเลือกสรรภูมิปัญญาที่กำลังสูญหาย หรือที่สูญหายไปแล้วมาทำให้มีคุณค่าและมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตในท้องถิ่น โดยเฉพาะพื้นฐานทางจริยธรรม คุณธรรม และค่านิยม

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

เรื่องราวขนม


ขนมไทยเริ่มแพร่หลายมากขึ้นในสมัยอยุธยา ดังปรากฏข้อความในจดหมายเหตุหลายฉบับ บางฉบับกล่าวถึง “ย่านป่าขนม” หรือตลาดขนม บางฉบับกล่าวถึง “บ้านหม้อ” ที่มีการปั้นหม้อ และรวมไปถึงกระทะ ขนมเบื้อง เตาและรังขนมครก แสดงให้เห็นว่าขนมครกและขนมเบื้องนั้น คงจะแพร่หลายมากจนถึงขนาดมีการปั้นเตาและกระทะขาย บางฉบับกล่าวถึงขนมชะมด ขนมกงเกวียนหรือขนมกง ขนมครก ขนมเบื้อง ขนมลอดช่อง
จนถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อันถือได้ว่าเป็นยุคทองของการทำขนมไทย ดังที่จดหมายเหตุฝรั่งโบราณได้มีการบันทึกไว้ว่า การทำขนมในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้นเจริญรุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชาวโปรตุเกสอย่างท่านผู้หญิงวิชาเยนทร์หรือบรรดาศักดิ์ว่า ท้าวทองกีบม้า ผู้เป็นต้นเครื่องขนมหรือของหวานในวัง ได้สอนให้สาวชาววังทำของหวานต่าง ๆ โดยเฉพาะได้นำไข่ขาวและไข่แดงมาเป็นส่วนผสมสำคัญอย่างที่ทางโปรตุเกสทำกัน ขนมที่ท่านท้าวทองกีบม้าทำขึ้นและยังเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบันก็ได้แก่ ขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมหม้อแกง และรวมไปถึง ขนมทองโปร่ง ขนมทองพลุ ขนมสำปันนี ขนมไข่เต่า ฯลฯ
ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี ผู้ทรงเป็นพระเจ้าน้องยาเธอในสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กล่าวไว้ว่าในงานสมโภชพระแก้วมรกตและฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้มีเครื่องตั้งสำรับหวานสำหรับพระสงฆ์ ๒,๐๐๐ รูป ประกอบด้วย ขนมไส้ไก่ ขนมฝอย ข้าวเหนียวแก้ว ขนมผิง กล้วยฉาบ ล่าเตียง หรุ่ม สังขยา ฝอยทอง และขนมตะไล ในกาพย์ห่อโคลงเห่เรือชมเครื่องคาวหวาน บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้กล่าวชมเครื่องหวานหรือขนมไทยหลายชนิดด้วยกัน อาทิ ข้าวเหนียวสังขยา ขนมลำเจียก ขนมทองหยิบ ขนมทองหยอด ขนมผิง ขนมรังไร ขนมช่อม่วง ขนมบัวลอย ฯลฯ
สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการพิมพ์ตำราอาหารออกเผยแพร่ การทำขนมไทยก็เป็นหนึ่งในตำราอาหารไทยนั้น จึงนับได้ว่าการทำขนมไทยและวัฒนธรรมขนมไทย เริ่มมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างมีระบบระเบียบในสมัยรัชกาลที่ ๕ นี้เอง แม่ครัวหัวป่าก์เป็นตำราอาหารไทยเล่มแรก ประพันธ์โดยท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ในตำราอาหารไทยเล่มนี้ปรากฏรายการสำรับของหวานเลี้ยงพระอันประกอบด้วย ขนมทองหยิบ ขนมฝอยทอง ขนมหม้อแกง ขนมหันตรา ขนมถ้วยฟู ข้าวเหนียวแก้ว ขนมลืมกลืน วุ้นผลมะปราง ฯลฯ แสดงให้เห็นว่าคนไทยนิยมทำขนมใช้ในงานบุญ ซึ่งก็เป็นแบบแผนต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา

ขนมไทย

ขนมไทย

             ขนมไทย หัตถกรรมความอร่อยที่แสดงออกถึงความอ่อนช้อยของความเป็นไทย ตั้งแต่ครั้งอดีตกาลที่ก่อกำเนิดภูมิปัญญาไทยหลากหลายอย่างให้สืบสานต่อทั้งวิถีชีวิตประเพณี วัฒนธรรม ที่สามารถนำวัสดุมีอยู่ในท้องถิ่นมาปรุงแต่งเป็นของหวานได้มากหลายรูปแบบ จัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าคนไทยมีลักษณะนิสัยอย่างไร เพราะขนมแต่ละชนิดล้วน มีเสน่ห์ แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อน ประณีต วิจิตรบรรจงในรูปลักษณ์ ตั้งแต่วัตถุดิบที่ใช้ วิธีการทำที่กลมกลืน ความพิถีพิถัน สีที่ให้ความสวยงาม มีกลิ่นหอม รสชาติของขนมที่ละเมียดละไมชวนให้รับประทาน แสดงให้เห็นว่าคนไทยเป็นคนใจเย็น รักสงบ มีฝีมือเชิงศิลปะ
          คำว่า "ขนม" เข้าใจว่ามาจากคำสองคำที่มาผสมกันคือ "ข้าวหนม" และ "ข้าวนม" เข้าใจว่าเป็นข้าวผสมน้ำอ้อย น้ำตาล โดยอนุโลมคำว่าหนม แปลว่า หวาน
          ข้าวหนม ก็แปลว่า ข้าวหวาน เรียกสั้นๆ เร็วๆ ก็กลายเป็น ขนม ไป
          ส่วนที่ว่ามาจากข้าวนม (ข้าวเคล้านม) นั้นดูจะเป็นตำนานแขกโบราณ อย่างข้าวมธุปายาส (ที่นางสุชาดาทำถวายพระพุทธเจ้าเมื่อตอนตรัสรู้ก็ว่าเป็นข้าวหุงกับนม)
          คำว่า ขนม มีใช้มาหลายร้อยปียากจะสันนิฐานแน่นอนได้ เช่นเดียวกับไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นอนว่า "ขนมไทย" เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยใดเป็นครั้งแรก แต่ตามประวัติศาสตร์ไทยมีหลักฐานตอนหนึ่งว่า มีการจารึกชื่อขนมในแท่งศิลาจารึก เป็นการจารึกแบบลายแทงสมัยโบราณ ขนมที่ปรากฏคือ "ไข่กบ นกปล่อย บัวลอย อ้ายตื้อ" ถามผู้ใหญ่ดูถึงได้รู้ว่า ไข่กบ หมายถึง เม็ดแมงลัก นกปล่อย หมายถึง ลอดช่อง บัวลอย หมายถึง ข้าวตอก อ้ายตื้อ หมายถึง ข้าวเหนียว ขนมทั้งสี่ใช้น้ำกระสายอย่างเดียวกันคือ "น้ำกะทิ" โดยใช้ถ้วยใส่ขนม ซึ่งเราเรียกการเลี้ยงขนม ๔ อย่างนี้ว่า "ประเพณี ๔ ถ้วย" 
 ขนมประเภทที่ใช้ข้าว (แป้ง) น้ำตาล มะพร้าว คงจะมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เพราะมีการติดต่อกับต่างประเทศ กล่าวว่าในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีท่านผู้หญิงของเจ้าพระยาวิชาเยนชร์บรรดาศักดิ์ "ท้าวทองกีบม้า" ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับชาวพนักงานของหวาน ได้ประดิษฐ์คิดค้นขนมตระกูลทองเพราะมีไข่ผสมคือ ทองหยิบ ทองหยอด ทองพลุ ฝอยทอง ทองโปร่ง เป็นต้น